
หลายคนที่เป็นแฟนฟุตบอลอาจจะไม่ค่อยรู้จักประเทศนี้ซักเท่าไรนัก เพราะเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่ค่อยโดดเด่นในเรื่องของกีฬาฟุตบอลซักเท่าไร “ฟลายอิ้งฟินน์” ทีมชาติฟินแลนด์ สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลระดับนานาชาติรายการใหญ่ได้สำเร็จ (มหกรรมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020) หลังจากเปิดบ้านไล่อัด ลิคเท่นสไตน์ ขาดลอย 3-0 ประตู โดยได้ประตูจาก เจสซี่ ตูโอมิเน่นในนาทีที่ 7 และอีกสองประตูจาก ติมู ปุ๊กกี้ หัวหอกสมองใส จากจุดโทษนาทีที่ 64 และโอเพ่นเพลย์ นาทีที่ 75 นั่นเอง ถึงแม้นัดสุดท้าย จะแพ้กรีซ ด้วยสกอร์ 1-2 แต่ก็ยังมีดีพอที่ทำให้ ฟินแลนด์ มีสถิติ ชนะ 6 แพ้ 4 มี 18 คะแนนจาก 10 นัด เป็นรองแชมป์กลุ่ม J ตีตั๋วเข้ารอบสุดท้ายได้สำเร็จ ทำให้ตอนนี้มีทีมเข้ารอบสุดท้ายไปแล้ว 12 ทีม คือ เบลเยี่ยม, อิตาลี, รัสเซีย, โปแลนด์, ยูเครน, สเปน, ตุรกี, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, เช็ก, สวีเดน และฟินแลนด์
ซึ่งหากพูดถึงนักเตะของพวกเขาแล้ว ทุกคนคงจะคิดถึง “ยารี่ ลิตมาเน่นส์”นักเตะจอมคลาสสิคตลอดกาล เจ้าของสถิติลงเล่นให้ทีมชาติฟินแลนด์มากที่สุดที่จำนวน 137 นัด รวมไปถึง “ซามี่ ฮูเปีย” ภูผาน้ำแข็งของ ทีมลิเวอร์พูลในอดีต และโจนาทาน โนยฮันส์สัน ที่มาโด่งดังกับ ทีมชาร์ลตัน แอตเลติค ที่ติดธงเท่ากันที่105 เกมหรือจะเป็น มิกาเอล ฟอร์สเซลล์ นี่ก็มาสร้างชื่อในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เช่นเดียวกัน ประเทศฟินแลนด์นั้นมีประชากรเพียง 5.5 ล้านคนเท่านั้น มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลตั้งแต่ปี 1907 ก่อนจะเป็นสมาชิกของฟีฟ่าในปี 1908 และลงเล่นนัดแรกในระดับนานาชาติ เมื่อ 22 ตุลาคม 1911 โดยปัจจุบันฟุตบอลลีกในประเทศมีทั้งหมด 8 ดิวิชั่น มีชื่อลีกสูงสุดว่า“ไวค์คาอุสลีก้า” มีทั้งสิ้น 12 สโมสรด้วยกัน
สำหรับฟุตบอลทีมชาติฟินแลนด์นั้นมีฉายาว่า Eurasian Eagle Owl หรือ นกเค้าอินทรี ยูเรเซีย เป็นนกที่มีปีกที่แข่งแกร่งที่สุดในโลก มีลักษณะคล้ายคลึงกับนกฮูกทั่วไป แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า และมีการแยกออกไปอีกเป็น 12 สายพันธุ์ทั่วโลกโดยในแถบสแกนดิเนเวีย เรียกว่า “BUBO” ที่ผ่านมา ฟินแลนด์ แต่ยังไม่เคยผ่านเข้าเล่นฟุตบอลโลกมาก่อน นับตั้งแต่ร่วมเตะรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี 1930 โดยไม่ร่วมแข่งหนเดียว คือ ปี 1950ไม่เคยเข้ารอบยูโรฯเลย นับตั้งแต่ร่วมแข่งปี 1968 ก่อนที่จะเริ่มโชว์ฟอร์มในศึกเนชันส์ ลีก ด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น C ด้วยสถิติชนะ 4 แพ้ 2 ได้ขึ้นชั้นสู่ดิวิชั่น B สำเร็จในซีซั่นหน้าส่วนรายการเดียวที่เคยเล่นรอบสุดท้ายคือ โอลิมปิกเกมส์ รวมทั้งสิ้น 4 สมัย คือปี 1912, 1936, 1952 และ 1980 ผมเชื่อว่าทีมนี้จะมุ่งหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการฟุตบอลยุโรปในการแข่งขัน ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 เป็นแน่